เมื่อยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการระบาดใหญ่ รูปแบบการซื้อของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ค้าปลีกต้องมีการผสมผสานระหว่างยอดขายออนไลน์และยอดขายในร้าน เนื่องจากผู้คนรู้จักอีคอมเมิร์ซมากขึ้น และพบว่าสะดวก ส่งถึงที่ และไม่ต้องออกนอกบ้าน เพื่อลดการสัมผัสให้น้อยที่สุด
Jeff Swearingen รองประธานอาวุโส PepsiCo กล่าวว่า บริษัทได้ทำการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับลูกค้ารายย่อยและผู้บริโภคเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับคู่ค้า ซึ่ง PepsiCo สามารถเจาะลึกฐานข้อมูลร้านค้า 500,000 แห่งและฐานข้อมูลผู้บริโภค 110 ล้านฐานข้อมูล ผ่านระบบ AI และใช้ voila สร้างแผนผังที่กำหนดเองและแนะนำลูกค้าว่า ควรวางผลิตภัณฑ์ใดบ้างในร้านค้า สามารถพิจารณารูปแบบการซื้อ, ระดับรายได้, ภูมิศาสตร์ และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เพียงแต่ระบุถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าคงคลังในร้านทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการออกแบบร้านใหม่ทั้งหมดด้วย
การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทอย่าง PepsiCo เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในขณะนี้ เพราะสามารถช่วยคู่ค้าปลีกของพวกเขาด้วยความรู้ด้านอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้าง win-win-win สำหรับผู้ผลิต, ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค แน่นอนว่ามีความเสี่ยงในการแบ่งปันข้อมูล แต่ความเสี่ยงนั้นเกินดุลด้วยศักยภาพในการเพิ่มยอดขายและสามารถพิสูจน์ได้
ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องรู้จักลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์, ช่องทางจัดจำหน่ายที่เหมาะสมทั้งในร้านหรือผ่านออนไลน์ จากนั้นดึงดูดลูกค้าด้วยโซเชียลมีเดียและโปรแกรมจูงใจอื่นๆ หากผู้ค้าปลีกไม่มีเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ พวกเขาต้องการพันธมิตรอย่าง PepsiCo เพื่อช่วยเหลือ และ PepsiCo ก็เต็มใจทำเช่นกัน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะนั่งเฉยๆ หรือทำการตลาดแบบเดียวกับในอดีต เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนให้รวดเร็วเท่านั้นเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้ากลับมา
Resource : https://www.forbes.com/