โดย อ.พีรพัฒน์ กองทอง
?ต้นเตย : “นี่หลิน..เด็กที่ร้านต้นเตยมาบอกลาออกสิ้นเดือนนี้อีกคนแล้ว กลุ้มใจตอนสิ้นเดือนแบบนี้ทุกที”
?หลิน : “เราก็ไม่ต่างจากเธอนะต้นเตย พอจ่ายค่าจ้างงวดกลางเดือนเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็หายไปไม่มาทำงานซะงั้น”
?ต้นเตย : “ก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไม? ฉันก็จ่ายค่าจ้างวันละ 330 บาท มากกว่าขั้นต่ำ 320 บาทซะอีก”
?หลิน : “ของเราจ่ายค่าแรงวันละ 320 บาทก็จริง แต่ก็มีอาหารให้ 1 มื้อ ฟรีๆ ถ้าไปซื้อกินเองก็มื้อละ 40 บาทอย่างต่ำแล้วนะ นี่ยังหายไปดื้อๆ เลย”
?ต้นเตย : “สำหรับเรานะหลิน เบี้ยขยันเอย, เงินทิปเอย, แข่งกันขายโน่นนี่ที่เขาเรียกว่า incentive เราก็จัดให้มีทั้งนั้น ก็ยังเอาไม่อยู่”
ผมแอบเงี่ยหูฟัง 2 เพื่อนสาวที่เป็นเจ้าของร้านอาหารคนหนึ่งกับอีกคนที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟคุยกัน ฟังๆ แล้วเธอทั้ง 2 ก็ให้ความสำคัญกับพนักงานและพยายามจะรักษาพนักงานให้ทำงานกับเธอให้นานที่สุดหรือตลอดไปเลยก็ได้ประมาณนั้น
พวกเธองัดกลยุทธ์เท่าที่ได้ยินจากแหล่งต่างๆ มาใช้กับพนักงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เป็นเพราะอะไรนะ?
ผมอยากบอกตรงนี้ว่าสาเหตุที่พนักงานไปจากเรานั้นมีมากมายหลายประการ
ดังนั้นหากคุณตั้งธงเอาไว้ว่ากลยุทธ์ประมาณนี้จะรักษาไว้ได้ พนักงานจะชอบและจะไม่จากไป แต่หากคุณย้อนกลับมาดูพี่น้องในบ้านในครอบครัวสักนิด คุณจะพบความจริงว่าตัวคุณเองกับคนอื่นๆ ในบ้านยังชอบไม่เหมือนกันเลย แต่คุณยังอยู่ในบ้านเดียวกันได้ แล้วอะไรคือจุดร่วมที่อยู่กันได้บนความแตกต่างที่ว่านี้ครับ
ใครคือคนที่สร้างสมดุลภายในบ้าน และเครื่องมือที่ใช้สร้างสมดุลนั้นคืออะไร?
คือ เงินในทุกอย่างหรือ?
คือ กับข้าวกับปลาที่อยู่บนโต๊ะภายใต้ฝาชีที่ครอบไว้อย่างนั้นหรือ?
คือ การได้ออกไปเที่ยว ไปดูหนังในสถานที่ที่คุณอยากไปแค่นั้นหรือ?
คือ การศึกษาที่คุณได้รับด้วยความจำเป็นทั้งๆ ที่ไม่อยากเรียนอีกแล้วเช่นนั้นหรือ?
ฯลฯ. ว่ากันไปสารพัดที่จะหยิบยกมาด้วยเหตุผลเพียงแค่ความคิดของคุณเพียงคนเดียวด้วยตรรกะที่ว่านี้ จงอย่าพยายามคิดว่ามีคำตอบทางแก้ปัญหาที่สำเร็จรูป แต่จงมองหาจุดร่วมบนความแตกต่างของแต่ละคน เพื่อให้เกิดความสุขความพึงพอใจในการทำงานร่วมกันดีกว่า ซึ่งสิ่งนี้ผมเรียกว่าการปฏิบัติต่อพนักงาน (People Practices)
ปัจจัยหรือสาเหตุการลาออกของพนักงานสูงสุดในสังคมแรงงานนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องครับ
และส่วนใหญ่ที่พบความขัดแย้งก็คือการขาดความเข้าใจในกฎหมายแรงงานของผู้ที่เป็นเจ้านายครับ ก็เลยทำให้ปฏิบัติต่อพนักงานผิดๆ ถูกๆ เป็นธรรมบ้าง ไม่เป็นธรรมบ้าง เพราะมักใช้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาตัดสิน แต่ถ้าคนที่เป็นนายจ้างมีความรู้พื้นฐานกฎหมายแรงงานที่ถูกต้อง รวมทั้งเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้ร่างกฎหมาย ท่านก็จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติต่อพนักงานที่ถูกต้อง ชัดเจน
ตัวอย่างกรณีการลากิจ พบว่าบางแห่งให้ลากิจ 5 วัน บางแห่งให้ลาได้ 6 วัน
บางแห่งจ่ายค่าจ้างวันลากิจ บางแห่งก็ไม่จ่าย
บางแห่งที่จ่ายก็จ่ายเพียง 3 วัน/ปี บางแห่งก็จ่ายทั้ง 6 วันเต็มแม๊กซ์
แล้วยังมีตามมาอีกว่าอย่างไหนล่ะที่เรียกว่าลากิจ เพราะบางทีพนักงานบางคนก็ถูกปฏิเสธไม่ให้ลากิจ ในขณะที่พนักงานก็ย้อนถามคุณกลับมาว่า “แล้วทำไมคนก่อนหน้านี้ถึงลากิจได้ล่ะ ทั้งๆ ที่มาขอด้วยเหตุผลเดียวกัน” พอเห็นประเด็นของบทความวันนี้หรือเปล่าครับ!!!!!!!!
การรู้กฎหมายแรงงานเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องรู้ รู้เพื่ออะไร รู้เพื่อนำมาใช้สร้างมาตรฐานการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ป้องกันปัญหาอย่างที่ผมยกตัวอย่างข้างต้น รู้เพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องกิจการไม่ให้เสี่ยงต่อการกระกระทำผิด รู้เพื่อไม่เอาเปรียบพนักงานโดยไม่รู้ตัว รู้เพื่อรักษาพนักงานให้ทำงานกับเราไปยาวนานอย่างมีความสุขทุกฝ่าย