ยุคนี้ร้านอาหารใดยังไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในช่องทางขาย Delivery ต้องบอกว่า เสียโอกาสทำกำไรไปอย่างน่าเสียดาย ตลาด Food Delivery นับวันมีแต่โตขึ้น ๆ แม้แต่ในต่างจังหวัดเดี๋ยวนี้ Food Delivery ก็กำลังได้รับความนิยม พฤติกรรมการสั่งอาหารของลูกค้านับวันจะเริ่มเปลี่ยนไป อยู่บ้านอยู่ ที่ทำงาน หรือจะดึกแค่ไหนก็พร้อมจ่ายเงินสั่งอาหาร Delivery มาทานเพื่อความสะดวก ดังนั้นหนึ่งหน้าที่สำคัญของคนเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร SME คือ ช่องทางไหนที่มีลูกค้า มีโอกาสเพิ่มรายได้ให้ร้าน เราต้องพาสินค้าไปนำเสนอ และถ้าเพื่อน ๆ ท่านใดยังไม่รู้ขั้นตอนการนำร้านเข้าไปอยู่ใน App Food Delivery ต้องทำอย่างไร มีค่าใช้จ่ายหรือไม่ เราคัด 4 App Food Delivery ยอดฮิต ณ ปัจจุบันมาแนะนำขั้นตอนการสมัคร และรายละเอียดที่จำเป็นต้องรู้ ถ้าเพื่อน ๆ พร้อมจะเพิ่มช่องทางขายใหม่ ๆ กันแล้ว ไปเริ่มต้นเข้าสู่ตลาด Food Delivery กันเลย
หลักสูตรแนะนำ : การตลาดสำหรับร้านอาหาร
สอนโดยวิทยากรที่มีประสบการณ์โดยเฉพาะด้านร้านอาหาร ในหลักสูตรจะประกอบด้วยการตลาดทั้งแบบ ออนไลน์ และ ออฟไลน์ เพื่อนแท้ร้านอาหารจัดให้พิเศษสำหรับ เพื่อนๆ ร้านอาหารทุกคน ราคาเพียง 990 บาท เป็นคอร์สออนไลน์ครับ >>
ร้านอาหารขอใช้บริการ App Food Delivery ดีอย่างไร?
ข้อดีของการที่ร้านอาหารเป็นพาร์ทเนอร์กับแอป Food Delivery นั้น มีหลายข้อด้วยกัน เช่น
-
สามารถช่วยให้ร้านอาหารเราเพิ่มยอดขายได้ทันทีโดยบาง App ก็ไม่มีค่าใช้จ่าย บาง App ก็มีค่าใช้จ่ายบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มช่องทางรายได้ให้เติบโตได้
-
สามารถใช้ App Food Delivery เป็นช่องทางในการโปรโมทร้าน โปรโมทเมนูดังได้ ซึ่งแต่ละ App ดังๆ มีผู้ใช้หลายสิบล้านคน ทำให้ร้านค้าของเรามีโอกาสได้รับการเข้าถึงและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากขึ้น โดยไม่มีต้นทุน หรือมีต้นทุนในการดำเนินการที่น้อยกว่าการใช้งบทางการตลาดทั่วไป
-
ทำให้ร้านอาหารของเรามีบริการ Delivery ได้โดยไม่ต้องจ้างพนักงาน ไม่มีต้นทุนเงินเดือนพนักงาน ซึ่งถือเป็น Service เป็นการบริการที่ทำให้ร้านของเราสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
-
สามารถจัดโปรโมชั่นร่วมกับทาง App Food Delivery ได้ เพื่อกระตุ้นยอดขาย หรือสร้างกระแสความรับรู้ให้กับร้านค้าของตัวเอง ซึ่งสะดวก สบาย และง่ายกว่ามาก เพราะมีผู้ช่วยดำเนินการให้
ทั้งนี้ รายละเอียดในการสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ App Food Delivery นั้น ในแต่ละ App ก็จะมีกฎระเบียบและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป แต่ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้
Wongnai x LINE MAN Delivery
วิธีขอใช้บริการเพื่อรับออเดอร์เดลิเวอรีของ LINE MAN ฟรี
มีรายละเอียดขั้นตอน ดังนี้
1.
เข้ามาที่เว็บไซต์ http://business.wongnai.com/restaurant-management-system/
แล้วเลือกสมัครใช้งาน RMS : Restaurant Management System
2.
กรอกชื่อร้านค้าของเราเพื่อทำการสมัคร
แต่ในกรณีที่เป็นการเปิดสาขาใหม่ ให้เลือก คลิกที่นี่ เพื่อใส่ข้อมูลเอง
แล้วกรอกรายละเอียดร้านค้าเพื่อส่งข้อมูลสำหรับรอการพิจารณา
3.
เมื่อกรอกรายละเอียดเรียบร้อยแล้วก็กด “ลงทะเบียน”
และรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับทาง E-mail
ทั้งนี้หากมีปัญหาในการลงทะเบียนสามารถสอบถามเพิ่มเติม
ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-821-5788
Note : ความพิเศษของการสมัครบริการนี้ คือ ยังไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งในการสมัครและการให้บริการ โดยทางร้านค้าจะไม่ถูกหักเปอร์เซ็นต์ใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือ เมื่อเราสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็บอกกับลูกค้าเราได้ว่า สามารถสั่งอาหารเราผ่าน App Line Man ได้ ลูกค้าก็จะไปเสิร์ชร้านเราในแอป แล้วกดสั่งอาหาร พนักงานไลน์แมนจะโทรคุยกับร้านเราว่าค่าอาหารเท่าไร จากนั้น เขาก็จะบวกค่าส่งที่เขาต้องได้รับ แล้วส่งคำสั่งไปให้ลูกค้ายืนยัน ถ้าลูกค้ายืนยัน ไลน์แมนจะมารับอาหารที่ร้านเรา จ่ายเงินเรา โดยที่ร้านไม่เสียค่าบริการอะไรเลย แล้วก็เอาอาหารไปส่งให้ลูกค้า นับว่าเป็นช่องทางในการทำให้ร้านค้าเพิ่มยอดขายได้อย่างดีอีกหนึ่งช่องทาง และเหมาะอย่างยิ่งกับร้านเปิดใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานส่งอาหารเอง แต่ไปขึ้นทะเบียนเอาไว้กับ Line Man
Grab Food
วิธีขอใช้บริการเพื่อรับออเดอร์เดลิเวอรีของ Grab Food
มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.
เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.grab.com/th/merchant/food/
แล้วกรอกรายละเอียดการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ร้านอาหารกับเรา
โดยเป็นการสมัครฟรี ไม่มีค่าแรกเข้
2.
หลังจากกรอกรายละเอียดแล้ว ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไป
เพื่อนัดหมายเซ็นเอกสารสัญญาให้เสร็จสิ้น
3.
ทางร้านอาหารจะต้องส่งมอบเมนูอาหาร รายละเอียด
และเอกสารต่างๆ เพื่อทำการอัพโหลดขึ้นทางหน้า App Grab Food
โดยเอกสารที่ใช้ในการทำสัญญา ได้แก่
ร้านค้าประเภทนิติบุคคล
-
สำเนาหนังสือรับรองบริษัท ที่ออกโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
(โดยวันที่ออกหนังสือรับรองจะต้องไม่เกินระยะเวลา 3 เดือน นับจาก วันที่มีผลบังคับใช้)
-
ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20)
-
หนังสือมอบอำนาจ ในกรณีที่ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อในสัญญา
มิได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองบริษัท
-
สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจในการลงลายมือ
หรือ สำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
ร้านค้าประเภทบุคคลธรรมดา
-
สำเนาบัตรประชำชนของเจ้าของร้าน
-
ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) (หากมี)
ทั้งนิติบุคคลและร้านบุคคลธรรมดา หากมี ใบรับรองมาตรฐานอาหารฮาลาล ก็สามารถแนบประกอบการส่งเอกสารด้วยได้เพื่อทำการประชาสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน
ข้อควรรู้เบื้องต้นกับการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab Food
-
GrabFood มีการเก็บค่าบริการรายเดือน คิดเป็นเปอร์เซ็นจากยอดขายผ่านแกร็บฟู้ดเท่านั้น
-
และไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเรียกเข้าแต่อย่างใด
-
ราคาอาหารใน Grab Food บางร้านจะมการบวกราคาเพิ่ม
ทำให้ราคาหน้าร้านกับราคาใน App ไม่ตรงกัน
-
ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่แกร็บฟู้ด โทร 02-021-2515 ทุกวัน 00 น. – 24.00 น.
-
ติดตามรายละเอียดที่ควรรู้อื่นๆ ได้ที่ https://help.grab.com/merchant/th-th/360001717951
Get Food
วิธีขอใช้บริการเพื่อรับออเดอร์เดลิเวอรีของ Get Food
มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.
เข้าเว็บไซต์ https://www.getthailand.com/
แล้วคลิกที่เมนู “ร้านอาหาร” มุมบนขวา เพื่อ
เข้าสู่หน้าลงทะเบียนร้านค้าสำหรับเป็นพาร์ทเนอร์
2.
กรอกรายละเอียดข้อมูลทั่วไปร้านค้าให้ครบถ้วน
แนบรูปภาพหน้าร้าน และระบุรหัสผ่าน 4 หลักเพื่อใช้ยืนยันตัวตน
เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นกด “หน้าถัดไป”
3.
กรอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัน เวลา เปิด ปิด ร้าน
และอัพโหลดเมนูของร้านเข้าสู่ระบบการพิจารณา โดยเมื่อกรอกเรียบร้อยแล้ว
ก็กด “หน้าถัดไป”
4.
ในหน้าสุดท้ายนี้จะเป็นการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานสัมมนาของทาง Get Food
“เคล็ดลับจากร้อยสู่ล้าน ก้าวไปด้วยกันกับ Get Food” ซึ่งจะมีสิทธิพิเศษ
และรายละเอียดที่ควรรู้สำหรับร้านค้ามากมาย โดยจัดเป็นรอบๆ
หากสนใจเข้าร่วมก็สามารถกรอกรายละเอียดได้เลย ทั้งนี้ จะมีรายละเอียด
ของเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการเป็นพาร์ทเนอร์เอาไว้ให้ทางร้านเตรียมด้วย
ซึ่งเมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็กด Submit Data และรอเจ้าหน้าทิ่ติดต่อกลับ
เอกสารสำหรับใช้เพื่อการสมัครเป็น GET FOOD PARTNER ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
ในกรณีเป็นบุคคลธรรมดา ต้องมีเอกสารของเจ้าของร้านค้า ดังนี้
-
สำเนาบัตรประชาชนทั้งด้านหน้า และหลังบัตร
-
ลายมือชื่อ
-
สำเนาบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ หรือ กระแสรายวัน
-
สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ซึ่งออกให้โดยกรมสรรพากร (ถ้ามี)
ในกรณีเป็นนิติบุคคล ต้องมีเอกสารของผู้มีอำนาจในการจัดการ ดังนี้
-
สำเนาบัตรประชาชนทั้งด้านหน้า และหลังบัตร
-
ลายมือชื่อ
-
สำเนาบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ หรือ กระแสรายวัน (เป็นบัญชีในนามของนิติบุคคล)
-
สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ซึ่งออกให้โดยกรมสรรพากร (ถ้ามี)
-
สำเนาทะเบียนพาณิชย์หรือทะเบียนการค้าโดยจดทะเบียน (ถ้ามี)
-
สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หนังสือจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ
-
(ตรวจสอบว่ากำหนดให้ใครเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการนิติบุคคล)
ข้อควรรู้เบื้องต้นกับการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Get Food
-
ให้บริการ 24 ชั่วโมง
-
ราคาอาหารตรงกับหน้าร้าน เนื่องจาก เก็บค่าบริการอาหารตามจริง แล้วบวกค่าจัดส่งตามระยะทางจริง ซึ่งจะเหมือน Line Man แต่จะต่างจาก Grab Food ที่ค่าอาหารจะมีการบวกเพิ่ม
พิเศษสำหรับเพื่อนผู้ประกอบการร้านอาหารที่สนใจหลักสูตรการตลาดออนไลน์สำหรับร้านอาหาร (โดยเฉพาะ) ทีมงานเพื่อนแท้ร้านอาหารได้จัดทำเป็นหลักสูตรออนไลน์ เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา เปิดให้ลงชื่อจองสิทธิราคาพิเศษแล้วนะครับ >>> หลักสูตรการตลาดออนไลน์สำหรับร้านอาหาร (เรียนออนไลน์)
Food Panda
วิธีขอใช้บริการเพื่อรับออเดอร์เดลิเวอรีของ Food Panda
มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.
เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.foodpanda.co.th/th/?r=1
จากนั้นเลื่อนลงมาคลิกสมัครบริการ “เปิดร้านของคุณในบริการของ Food Panda”
เพื่อเข้าไปกรอกรายละเอียดการสมัครเป็นพาร์ทเนอร์
2.
กรอกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับร้านอาหารของเราให้ครบถ้วน
พร้อมอัพโหลดเมนูอาหารที่ราคาตามจริง เพื่อส่งข้อมูลให้กับ
ทางเจ้าหน้าที่พิจารณาติดต่อกลับ
3.
เมื่อทาง Food Panda อนุมัติการสมัครของร้านเราแล้ว
ทางร้านจะได้รับหนังสือสัญญาจาก Food Panda ซึ่งหลังจากนั้น
จะเข้าสู่ช่วงของการตกลงเซ็นสัญญา
4.
เมื่อทำการตกลงเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว
จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเมนูอาหาร
และราคาให้ของอาหารแต่ละเมนูให้ถูกต้องครบถ้วน
5.
เมื่อเมนูได้รับการตรวจสอบแล้ว
ร้านอาหารจะได้รับแท็บเล็ตจากทาง Food Panda
พร้อมได้รับคำแนะนำในการใช้งานแท็บเล็ต
6.
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ร้านค้าของเรา
ก็จะออนไลน์อยู่บน App Food Panda
และสามารถให้บริการได้เลย
ข้อควรรู้เบื้องต้นกับการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Food Panda
-
Food Panda จะคิดค่าคอมมิชชัน 35% จากมูลค่าของออเดอร์ทั้งหมดที่สั่งผ่านทาง Food Panda สำหรับออเดอร์ที่ชำระผ่านบัตรเครดิต จะทำการละเว้นค่าธรรมเนียม 3% ให้
-
ร้านค้าที่ใช้บริการผ่าน Food Panda จะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้ไม่ได้เป็นร้านที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจาก Food Panda เป็นบริษัทที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกคำนวณจากค่าคอมมิชชั่นที่ทางร้านจะต้องจ่ายเรา (ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้าออเดอร์ 100 บาท (ราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่วนแบ่งของ Food Panda จะเท่ากับ 35 บาท + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.45 บาท ในขณะที่ส่วนแบ่งของทางร้านจะเป็น 62.55 บาท)
-
สอบถามเพิ่มเติมสามารถส่งอีเมลมาได้ที่ partner@foodpanda.co.th
หรือโทรมาที่เบอร์ +662-329-5771 หรืออ่านรายละเอียดข้อสงสัยอื่นๆ ได้ที่ https://www.joinfoodpandath.com/faqth
จะเห็นได้ว่าขั้นตอนในการขอสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ App Food Delivery นั้นไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากเลย ซึ่งสำหรับร้านอาหารทุกร้านแล้ว นี่ถือเป็นหนึ่งวิธีการเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าได้เป็นอย่างดี ที่เราควรลองศึกษาและเลือกใช้บริการได้กับบริษัทผู้ให้บริการที่เราพอใจ หรือมีความรู้สึกว่าเหมาะกับสไตล์การทำงานของร้านเรามากที่สุด จะมีทุก